Review : The Martian อยู่คนเดียว อยู่ลําพัง ว้าเหว่ [9.5/10]

The Martian 2

หลังจากที่ Gravity และ Interstellar หนังอวกาศที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับโลกภาพยนตร์ด้วยการใส่ความสมจริง ทางวิทยาศาสตร์ลงไปในหนัง ทำให้ชาวโลกได้สัมผัสใกล้ชิดจักรวาลอันกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้นและกลายเป็นสิ่ง ที่ผู้ชมจับตาดูว่าจะมีหนังอวกาศเรื่องไหนอีกที่ทำออกมาได้เยี่ยมและยืนอยู่ บนความจริงที่เป็นไปได้ ซึ่งในปีนี้  The Martian  ของผู้กำกับ Ridley Scott หนังอวกาศเรื่องแรกของปี 2015ก็ทำให้ผู้ชมไม่ผิดหวังจริงๆ

 The Martian เป็นเรื่องราวของทีมนักอวกาศที่ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคาร แต่ต้องเผชิญมรสุมพายุทรายถล่ม ทำให้พวกเขาต้องถอนตัวจากภารกิจออกจากดาวอังคารและเดินทางกลับโลก ซึ่งในระหว่างความโกลาหลนั่นเอง นักบินอวกาศ มาร์ค วัทนีย์ (แมตต์ เดม่อน) ได้เกิดถูกพายุพัดหายไป ทำให้นักบินอวกาศคนที่เหลือในทีมจำใจต้องทิ้งเขาไว้บนดาวอังคารเพราะเชื่อ ว่าเขาอาจจะตายแล้ว แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะวัทนีย์ยังไม่ตายและเขาต้องยังชีพอยู่ บนดาวอังคารให้ได้900วันเพื่อรอการช่วยเหลือ ท่ามกลางภูมิประเทศที่โหดร้ายของดาวอังคาร ออกซิเจน อาหาร น้ำ ที่มีอยู่จำกัด วัทนีย์จึงต้องใช้ความรู้ที่มีในการสร้างทุกอย่างและพยายามติดต่อกับคนบน ภาคพื้นโลกเพื่อให้รู้ว่าเขายังมีชีวิต และรอจนถึงวันที่นาซ่าจะส่งการช่วยเหลือมายังดาวอังคาร

The Martian 3

เป็นหนังอวกาศยืนอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ ที่คนทั่วไปเข้าถึงง่าย 

The Martian ไม่ใช่หนังที่ยืนอยู่บนจุดของความเป็นไซไฟจ๋า แต่ผสมดราม่าและเรียลิสติกเข้าไปค่อนข้างมาก ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสการแสดงขั้นเทพของแมตต์ เดม่อนอีกครั้ง ซึ่งในบทของมาร์ค วัทนีย์ ต้องยอมรับเลยว่าเป็นตัวละครที่มีหลากอารมณ์ ทั้งความเครียด ความกดดัน ความขบขันและความเหงา ซึ่งทุกอย่างจะต้องแสดงออกมาให้เหมือนว่า เขาผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายมาอย่างยาวนานและเพียงลำพัง  พัฒนาการของอารมณ์ในตัวละครวัทนีย์ จะต้องแปรผันไปตามวันเวลาอันยาวนานนี้ด้วย แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นความเรียบเฉยของอารมณ์วัทนีย์ แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นความแตกต่างฝังลึกอยู่ในนั้นด้วย ทั้งความเหงา ความเหนื่อย ความเบื่อหน่ายและความหวัง ซึ่งถือได้ว่าตัวละครนี้ เป็นอีกครั้งที่การแสดงของ แมตต์ เดม่อน เข้าถึงห้วงลึกของจิตใจตัวละครได้อย่างถ่องแท้

The Martian 4

…คงความคลาสสิคของหนังไซไฟไว้ครบถ้วน เติมอารมณ์ด้วยบทเพลงดิสโก้…

นอกจากจุดดราม่าที่เป็นส่วนผสมใน The Martian แล้ว ความเป็นไซไฟที่ยึดหลักความจริงของทฤษฎีฟิสิกส์อวกาศ ทำให้มันเหมือนเป็นตำราศึกษาที่ใช้เป็นสื่อที่ทำให้เราเข้าใจการเดินทางจาก โลกไปดาวอังคารและโครงการวิจัยทดลองของนาซ่าที่เราไม่อาจรู้ หนังคงความเป็นพล๊อตอวกาศได้อย่างครบถ้วน เราจะได้เห็นฉากคลาสสิคที่ทีมงานนั่งอยู่ในห้องควบคุมปฏิบัติการแล้วส่ง กระสวยขึ้นไปบนอวกาศจากนั้นก็เป็นวินาทีลุ้นระทึกและเสียงปรบมือแห่งความ สำเร็จที่เราเคยเห็นในหลายเรื่อง รวมถึงฉากเฝ้าภาวนาของคนทั่วโลกที่ใจจดจ่อกับปฏิบัติการช่วยเหลือมาร์ค วัทนีย์ ยังคงเป็นแบบสำเร็จของความคลาสสิคของหนังอวกาศที่เราเคยผ่านตามาแล้วในหนัง ดังหลายๆเรื่อง แต่หากจะพูดถึงความความเป็นไปได้ก็ต้องถือว่าหนังยืนอยู่บนจุดของความเป็น นวนิยายวิทยาศาสตร์ไซไฟซึ่งโลกในนิยายทุกอย่างสามารถเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ ในเรื่องจริงนั้นก็ต้องลุ้นกันหน่อยว่ามันทำได้จริงมั้ย?? ซึ่งถ้าเทียบกับ Gravity และ Interstellar ยังถือว่า The Martian ดึงความเป็นไซไฟอวกาศและทฤษฎีมาน้อยกว่า แต่ข้อดีของมันคือทำให้คนดูเข้าถึงเรื่องราวได้ง่ายมากขึ้น

อีกอารมณ์ที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับ  The Martian คงหนีไม่พ้นบทเพลงประกอบที่นำมาใช้ในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแต่เป็นบทเพลง ยุค 80 ที่มีกลิ่นอายความเป็นดิสโก้ สร้างอารมณ์ขันและความอารมณ์ดีให้กับหนังเรื่องนี้ไม่เครียดและกดดันจนเกิน ไป ฉากที่ชอบมากที่สุดและถือว่าปล่อยเพลงได้อย่างตรงจังหวะคงหนีไม่พ้นฉากเพลง waterloo ของ Abba ซึ่งถูกปล่อยออกมาพร้อมฉากการระดมความช่วยเหลือจากภาคพื้นโลกคู่ขนานไปกับ การเอาตัวรอดและหาทางกลับบ้านของวัทนีย์ บนดาวอังคาร สร้างความเพลิดเพลินมากเหมือนกับดูมิวสิควิดีโอที่มีฉากหลังเป็นดาวสีส้มอัน แห้งแล้ง

The Martian มีองค์ประกอบหนังไซไฟที่ครบรส ดราม่าที่ครบเครื่อง แถมด้วยบทเพลงเพราะๆ เป็นอีกเรื่องที่ดูเอาความบันเทิงอย่างเดียวก็ได้ หรือจะดูเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของฟิสิกส์อวกาศก็ได้ ถือเป็นหนังอวกาศอีกเรื่องที่ขึ้นหิ้งและงานสร้างดีไม่แพ้กับหนังอวกาศรุ่น พ่ออย่าง   Apollo 13 หรือรุ่นใหม่อย่าง Gravity เลยทีเดียว

The Martian poster